ความรู้เกี่ยวกับการย้อมสีธรรมชาติ

การเตรียมเส้นด้าย

การเตรียมเส้นด้ายให้มีความพร้อมสำหรับการย้อมสีธรรมชาติ

ไม่ใช่เส้นใยทุกชนิดจะย้อมสีธรรมชาติแล้วได้สีสันสวยงามเส้นใยที่นำมาใช้ย้อมสีธรรมชาติและให้ผลลัพธ์ที่ดี คือ เส้นใยที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ ทั้งเส้นใยจากพืช ไม่ว่าจะเป็นฝ้ายลินิน กัญชง ปอ ป้าน ฯลฯ เส้นใยจากสัตว์ เช่น ไหม ขนสัตว์ นอกจากนี้ยังมีเส้นใยประดิษฐ์อย่างเส้นใยกึ่งสังเคราะห์อย่างเช่นเส้นใยเรยอน ที่นิยมนำมาใช้และย้อมติดสีธรรมชาติได้ดีการย้อมเส้นใยหรือเส้นด้ายให้สีธรรมชาติติดดีสีสวยนั้นจะต้องมีการทำความสะอาดเส้นด้ายก่อน เนื่องจากปัจจุบันเส้นด้ายที่นำมาถักทอเพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภค นิยมใช้เส้นด้ายจากเส้นใยฝ้ายที่ผลิตในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะมีไขมันหรือสารที่เกาะเคลือบเส้นด้ายฝ้ายอยู่ ถ้าไม่ทำความสะอาดก่อน สีอาจจะไม่ติดดี ฉะนั้นจึงต้องทำความสะอาดเส้นด้ายก่อนย้อมเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

อุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดเส้นด้าย :

เพื่อความสะดวก จึงใช้วัสดุที่หาได้สะดวกในชุมชน ได้แก่

1) หม้อต้ม
2) น้ำยาล้ำงจานชนิดเข้มขั้น
3) ไม้พาย
4) น้ำสะอาด

วิธีทำความสะอาดเส้นด้าย

เทน้ำใส่ในหม้อ ต้มให้เดือด ใส่น้ำยาล้ำงจานอัตราส่วนตามความเหมาะสมหรือประมาณน้ำ 20 ลิตรต่อน้ำยาล้างจานเข้มข้น 3-4 ซ้อนโต๊ะคนให้ละลายเข้ากันกับน้ำ
น้ำเส้นด้ายใส่ลงไปในหม้อต้ม ให้น้ำท่วมเส้นด้ายอย่าใส่จนแน่นเกินไป หมั่นกลับพลิกเส้นฝ้าย เพื่อให้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ต้มทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
เมื่อครบตามวลาที่กำหนด หรือที่เหมาะสม นำเส้นด้ายขึ้นจากหม้อต้ม แขวนให้เส้นด้ายคลายความร้อนและสะเด็ดน้ำ แล้วล้ำงเส้นด้ายในน้ำเปล่าให้สะอาดจนหมดฟอง บิดพอหมาดกระตุกให้เส้นด้ายเรียงตัว ตากจนเส้นด้ายแห้งหมาดน้ำ แล้วนำไปย้อมสี แต่ถ้ายังไม่ย้อมทันทีให้ตกจนแห้สนิท แล้วเก็บเส้นด้ายใน ที่ ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับจนชื้น หรือเก็บในภาชนะที่ป้องกันความขึ้น

 

การเตรียมวัสดุให้สีจากธรรมชาติ

วัสดุให้สีจกรรรมชติ ทั้งจากพืช สัตว์ และอื่น ๆ นั้นก่อนนำไปสกัดสี จะต้องมีการเตรียมก่อนเพื่อให้วัสดุมีความพร้อม และให้สีเต็มที่เมื่อนำไปสกัด โยส่วนใหญ่ในพื้นที่งนิยมนำพืชมาสกัดสี โดยส่วนมากจะใช้เปลือก แก่น ราก หัวหรือเหง้า ดอก ใบ ผลและเมล็ด โดยในแต่ละส่วนมีการเตรียมที่แตกต่าง

  1. การเตรียมวัสดุจากแก่นไม้ เปลือก ราก หัว หรือ เหง้า : สำหรับเนื้อไม้หรือแก่นไม้ ใช้มีตผ่าให้เป็นซี่เล็ก ๆ ขนาด นิ้วมือ หรือยิ่งเล็กยิ่งดี ส่วนเปลือก ราก หัว และเหง้า สับบ/ทุบให้แหลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือถ้ำไม่แข็งมากใช้ครกตำให้แหลก จากนั้นนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี
    หมายเหตุ : บางสูตรบอกว่าแก่นไม้ เปลือก ราก หัว หรือเหง้า หลังตัดมาจากต้น ให้ผึ่งลมทิ้งไว้ 2-3 วันให้ยางฝาดแห้งก่อนนำไปเตรียมการสกัดสี จะทำให้ได้สีสันที่ดีขึ้น
  2. การเตรียมวัสดุจากใบหรือดอก : นึ่งใบหรือดอกด้วยไอน้ำ 5-10 นาทีีแล้วแช่น้ำเย็น 10-15 นาที ก่อนนำไปสกัดสี แต่ถ้าไม่สะดวก ให้สับหรือตำใบ/ดอกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืนก่อนนำไปสกัดสี
  3. การเตรียมวัสดุจากผลและเมล็ด : ผลแห้ง ถ้ามีขนาดใหญ่ ทุบให้แหลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ถ้าผลมีขนาดเล็ก (ปิ้งขาว) บุบให้แหลกพอหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี สำหรับเมล็ดแกะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเมล็ด (คำแสด) ออกมาแช่น้ำให้เปื่อย ผลสด (มะขามป้อม ลูกค้อ ลูกคนทา) บุบหรือตำพอหยาบ ๆ แช่น้ำ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี
    หมายเหตุ : ผลสดบางชนิด สามารถดองน้ำเปล่าเก็บไว้ใช้ได้นอกฤดู เช่น มะข้ามป้อม ลูกค้อแก่ คนทา เป็นต้น

 

การสกัดสี

หลังจากเตรียมวัสดุให้สีไว้แล้วตามวิธีและเวลาที่ตั้งไว้สำหรับการสกัดสีแบบร้อน ให้นำวัสดุให้สีนั้น ๆ มาใส่หม้อสแตนเลสหรืออลูมิเนียม (หม้อเหล็กอาจมีผลต่อสีที่สกัดได้) เติมน้ำตามปริมาณที่ต้องการ แต่อย่างน้อยต้องท่วมวัสดุให้สี ต้มเคี่ยวประมาณ 1-2 ชั่วโมง

1-2 ชั่วโมงไฟแรง สำหรับ แก่น เปลือก ราก เหง้าหรือจนได้สีที่ต้องการ
1 ชั่วโมง+ไฟอ่อน สำหรับใบ ดอก และผล/เมล็ดหรือจนได้สีที่ต้องการ

จากนั้นกรองเอากากออก เหลือแต่น้ำสี เพื่อนำไปย้อมเส้นด้ายต่อไป

นอกจากนี้ยังมี “การสกัดสีแบบเย็น” สำหรับชนิดพีชที่ให้ปริมาณเม็ดสีมากแม้สกัดในน้ำอุณหภูมิห้อง เช่น ขมิ้น คำแสด เป็นต้น ซึ่งบางชนิดก็ต้องใช้วัสดุให้สีในปริมาณที่มากพอสำหรับการย้อม

 

การย้อมผ้า

การเตรียมวัสดุให้สีจากธรรมชาติ วัสดุให้สีจธรรรมชาติ ทั้งจากพืช สัตว์ และอื่น ๆ นั้นก่อนนำไปสกัดสี จะต้องมีการเตรียมก่อนเพื่อให้วัสดุมีความพร้อม และให้สีเต็มที่เมื่อนำไปสกัด โยส่วนใหญ่ในพื้นที่งนิยมนำพืชมาสกัดสี โดยส่วนมากจะใช้เปลือก แก่น ราก หัวหรือเหง้า ดอก ใบ ผลและเมล็ด โดยในแต่ละส่วนมีการเตรียมที่แตกต่าง

  1. การเตรียมวัสดุจากแก่นไม้ เปลือก ราก หัว หรือ เหง้า : สำหรับเนื้อไม้หรือแก่นไม้ ใช้มีตผ่าให้เป็นซี่เล็ก ๆ ขนาด นิ้วมือ หรือยิ่งเล็กยิ่งดี ส่วนเปลือก ราก หัว และเหง้าสับบ/ทุบให้แหลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือถ้ำไม่แข็งมากใช้ครกตำให้แหลก จากนั้นนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี
    หมายเหตุ : บางสูตรบอกว่าแก่นไม้ เปลือก ราก หัว หรือเหง้า หลังตัดมาจากต้น ให้ผึ่งลมทิ้งไว้ 2-3 วันให้ยางฝาดแห้งก่อนนำไปเตรียมการสกัดสี จะทำให้ได้สีสันที่ดีขึ้น
  2. การเตรียมวัสดุจากใบหรือดอก : นึ่งใบหรือดอกด้วยไอน้ำ 5-10 นาทีแล้วแช่น้ำเย็น 10-15 นาที ก่อนนำไปสกัดสี แต่ถ้าไม่สะดวก ให้สับหรือตำใบ/ดอกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืนก่อนนำไปสกัดสี
  3. การเตรียมวัสดุจากผลและเมล็ด : ผลแห้ง ถ้ามีขนาดใหญ่ ทุบให้แหลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ถ้าผลมีขนาดเล็ก (ปิ้งขาว) บุบให้แหลกพอหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี สำหรับเมล็ดแกะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเมล็ด (คำแสด) ออกมาแช่น้ำให้เปื่อย ผลสด (มะขามป้อม ลูกค้อ ลูกคนทา) บุบหรือตำพอหยาบ ๆ แช่น้ำ 1 คืน ก่อนนำไปสกัดสี
    หมายเหตุ : ผลสดบางชนิด สามารถดองน้ำเปล่าเก็บไว้ใช้ได้นอกฤดู เช่น มะข้ามป้อม ลูกค้อแก่ คนทา เป็นต้น

 

การสกัดสี หลังจากเตรียมวัสดุให้สีไว้แล้วตามวิธีและเวลาที่ตั้งไว้สำหรับการสกัดสีแบบร้อน ให้นำวัสดุให้สีนั้น ๆ มาใส่หม้อสแตนเลสหรืออลูมิเนียม (หม้อเหล็กอาจมีผลต่อสีที่สกัดได้) เติมน้ำตามปริมาณที่ต้องการ แต่อย่างน้อยต้องท่วมวัสดุให้สี ต้มเคี่ยวประมาณ 1-2 ชั่วโมง

1-2 ชั่วโมงไฟแรง สำหรับ แก่น เปลือก ราก เหง้าหรือจนได้สีที่ต้องการ
1 ชั่วโมง+ไฟอ่อน สำหรับใบ ดอก และผล/เมล็ดหรือจนได้สีที่ต้องการ
จากนั้นกรองเอากากออก เหลือแต่น้ำสี เพื่อนำไปย้อมเส้นด้ายต่อไป นอกจากนี้ยังมี “การสกัดสีแบบเย็น” สำหรับชนิดพีชที่ให้ปริมาณเม็ดสีมากแม้สกัดในน้ำอุณหภูมิห้อง เช่น ขมิ้น คำแสด เป็นต้น ซึ่งบางชนิดก็ต้องใช้วัสดุให้สีในปริมาณที่มากพอสำหรับการย้อม

การย้อมสีธรรมชาติ โดยทั่วไปวิธีการย้อมสีธรรมชาติ มี 3 วิธี คือ 1. การย้อมโดยตรง (Direct Dyeing) 2. การย้อมแบบแวตหรือการก่อหม้อย้อม (Vat Dyeing) และ 3. การย้อมโดยใช้สารช่วยติดสี (Mordant Dyeing) แต่ในที่นี้จะนำเสนอการย้อม 2 แบบ คือ การย้อมโดยตรง และการย้อมโดยใช้สารช่วยติดสี ซึ่งเป็นธรรมชาติของการย้อมสีของคนบนพื้นที่สูงอย่างกลุ่มปกาเกอะญอและเลอเวีอะ

การย้อมโดยตรง (Direct Dyeing) : วัสดุให้สีจากรรมชาติบางชนิด มีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับเส้นใยได้ดีโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยติดสี ด้งนั้นจึงสามารถย้อมได้โดยกระบวนการ “ย้อมตรง ” ซึ่งสามารถย้อมได้ทั้งการ “ย้อมเย็น” คือการย้อมในน้ำสีที่สกัดไว้แล้วที่อุณหภูมิห้อง แต่ปกติเส้นใยจะดูดชับและติดสีได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 8 องศาเชลเชียส ซึ่งเรียกกว่าการ “ย้อมร้อน” ฉะนั้นสำหรับการย้อมสีที่ไม่ใช้สารช่วยติดสี แนะนำให้ย้อมด้วยกระบวนการย้อมร้อน โดยมีเทคนิควิธี ดังนี้

  1. นำน้ำสีที่สกัดไว้และกรองเรียบร้อยแล้วใส่หมอสแตนเลสหรืออลูมิเนียมขึ้นตั้งไฟ จนมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 65-80 องศาเซลเชียส ความร้อนจะช่วยให้เส้นด้ายพองตัว ทำให้เม็ดสีเคลื่อนที่เข้าไปในเส้นด้ายได้มากขึ้นและเร็วขึ้น (การให้ความร้อนไม่จำเป็นต้องต้มจนน้ำสีเดือดก็ได้ เพราะอาจสิ้นเปลืองพลังาน และยังมีปัญหาจากการที่น้ำในหม้อระเหยน้ำแห้งจนต้องหมั่นเติมน้ำกลับลงไป ทำให้สีในน้ำย้อมมีความเข้มข้นไม่คงที่)
  2. นำเส้นด้ายฝ้ายในปริมาณที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำสี ใส่ในห่วงย้อมผ้า (1คู่) แล้วแซ่เส้นใยฝ้ายในน้ำสี ให้น้ำท่วมเส้นด้าย แช่ไว้ประมาณ 10 นาที
  3. ยกห่วงคล้องเส้นดยขึ้น ให้เส้นด้ายส่วนหนึ่งยังแช่ในน้ำสี โยกขยับเส้นด้ายส่วนที่อยู่ในน้ำสีขึ้นมาสัมผัสอากาศ และขยับอีกส่วนลงไปแซ่ในน้ำสี ทำเช่นนี้วน ๆ ไป สลับกับการพลิกกลับเส้นด้ายที่อยู่ด้านใน ออกมาด้านนอก เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ ของเส้นด้ายได้ดูดชับเม็ดสีเข้าไปอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ การโยกเส้นดยขึ้นลงจะช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดสีตกตะกอนนอนอยู่กันหม้อ ทำเช่นนี้ประมาณ 10 นาที แล้วแช่เส้นด้ายลงในน้ำสีทิ้งไว้อีกประมาณ10 นาที ทำสลับกับการโยกเส้นด้ายขึ้นลงในน้ำสี รอบละ 10 นาที หากไม่มีห่วงย้อมผ้า ให้ใช้ไม้พายคนและยกเส้นด้ายขึ้นลงกลับไปกลับมาเพื่อให้เม็ดสีแทรกซึมเข้าไปในเส้นด้ายอย่างทั่วถึง หมั่นคนเพื่อไม่ให้สีตกตะกอนเพราะจะทำให้สีติดเส้นดยไสเสมอ สลับกับการแซ่เส้นด้ายไว้เฉย ๆ รอบละประมาณ 10 นาทีเช่นกัน
  4. ทำขั้นตอนที่ 3 สลับกันไปจนครบ 60-90 นาที หรือจนกว่าเส้นด้ายจะอิ่มสี หรือได้เฉดสีที่พอใจ และมีสีสันสม่ำเสมอทั่วกัน
  5. บิดเส้นด้ายพอหมาด ๆ แล้วนำขึ้นตากในร่มและอากาศถ่ายเทสะดวก โดยการคล้องในราวตาก และคอยขยับหมุนเส้นด้ายไม่ให้น้ำสีไหลมากองรวม ณ จุดเดียว เพราะจะทำให้สีไม่สม่ำเสมอ ขยับจนเส้นต้ายแห้งหมาด ๆ จากนั้นจึงตากเส้นด้ายทิ้งไว้จนแห้งสนิท
  6. นำเส้นด้ายฝ้ายที่ทิ้งไว้จนแห้งสนิทแล้วไปลงในน้ำสะอาดจนสีหลุดออกน้อยที่สุด บิดพอหมาดแล้วตากในที่ร่มและอากาศถ่ายเทสะดวกจนแห้งสนิท
  7. เก็บเส้นด้ายในที่ปลอดแสและอากาศถ่ายเทสะดวกไม่อับขึ้น ก่อนนำเส้นด้ายไปใช้งานต่อไป

 

พืชพรรณให้สี…บนพื้นที่สูง

 

ปัจจัยที่มีผลต่อการย้อมสีผ้าให้สีติดดี

วัสดุให้สี :

  • วัสดุให้สีและพืชพรรณธรรมชาติชนิดที่แตกต่างไป ก็มีผลต่อความคงทนของสีที่แตกต่างกัน
  • แหล่งกำเนิด ฤดูกาลที่แตกต่าง อายุของพีช ความอ่อนความแก่ ความสด/แห้งของวัสดุ เป็นปัจจัยที่ทำให้การสกัดสี ได้สีที่แตกต่างกัน และเมื่อย้อมก็มีความคงทนของสีที่แตกต่างกัน

เส้นไย :

  • เส้นใยที่เรียงตัวกันอย่างหลวม ๆ เม็ดสีจะซึมชับเข้าไปได้ง่าย แต่ถ้ำเรียงตัวกันอย่างแน่นหนา เม็ดสีจะซึมซับเข้าไปได้ยาก เช่น
  • เส้นใยด้ายฝ้ายจากโรงงาน มีการเรียงตัวแน่นกว่าเส้นใยด้ายฝ้ายจากการปั่นมือ
  • เส้นใยต่างชนิดกัน เช่น เส้นด้ายฝ้าย ซึ่งเป็นเส้นใยจากพืช ก็จะให้ผลที่แตกต่างกับเส้นไหมซึ่งเป็นเส้นใยจากสัตว์ การเลือกใช้วัสดุย้อมก็จะแตกต่างกันไป หรือหากใช้ชนิดเดียวกันก็จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
    ขนาดของเส้นใยก็มีผล เส้นใยเส้นเล็กเม็ดสีจะเข้าไปจับได้ทั่วถึงกว่าเส้นใยเส้นใหญ่

วิธีการย้อม :

  • วิธีการย้อม ได้แก่ การเตรียมเส้นใย กรเตรียมวัสดุให้สี การสกัดสี ปริมาณความเข้มขันของสีและปริมาณของเส้นด้าย ระยะวลาที่ใช้ย้อม วิธีการย้อม อุณหภูมิและความดันที่ใช้ย้อม การซักล้างน้ำที่ใช้ชกล้าง ฯลฯ ล้นส่งผลถึงสีสันและความคงทนของสีบนเส้นด้าย
  • สารช่วยย้อมที่แตกต่างกัน แม้จะมีความเป็นกรดหรือด่างเหมือนกัน ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน รวมถึงขั้นของสารช่วยย้อมที่ใช้ ก็มีผลต่อความเข้ม/อ่อนของสี และความคงทนของสีที่

การดูแลรักษา :

  • การดูแลรักษเส้นไหลังกรย้อม ความชื้น แส การพับ การบรรจุ ล้วนมีผลต่อสีสันบนผืนผ้า

 

ความเชื่อท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการย้อมผ้า

  • ในช่วงที่มีประจำเดือนสตรีปกาเกอะญอ จะเว้นจากการย้อมสีธรรมชาติเพราะเชื่อว่าจะทำให้หมู่บนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ
  • ในอดีต มีความเชื่อว่าแม่บ้านปกาเกอะญอ ที่กำลังตั้งครรภ์ห้ามทำการย้อมสีธรรมชาติ เพราะถึงย้อม สีก็จะไม่ติด
  • พืชพรรณบางชนิดบางหมู่บ้านจะมีข้อห้ามไม่ให้ย้อมสีพืชชนิดนั้นในบริเวณชุมชน เช่น จะห้ามไม่ให้ย้อมห้อมในหมู่บ้านเพราะมีความเชื่อถือว่าจะทำให้คนในหมู่บ้านไม่สบาย สัตว์เลี้ยงจะเจ็บป่วยล้มตาย
  • สตรีปกาเกอะญอบางครอบครัวถูกสอนมาว่าขณะที่ทำการย้อมฝ้ายสีธรรมชาติิ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดสิ่งที่ไม่ดีให้พูดกันเพราะ ๆ ให้พูดถึงแต่สิ่งที่ดีจะทำให้ฝ้ายย้อมได้สีที่สวย

 

การย้อมสีธรรมชาติ

โดยทั่วไปวิธีการย้อมสีธรรมชาติ มี 3 วิธี คือ

  1. การย้อมโดยตรง (Direct Dyeing)
  2. การย้อมแบบแวต หรือการก่อหม้อย้อม (Vat Dyeing) และ 3. การย้อมโดยใช้สารช่วยติดสี (Mordant Dyeing) แต่ในที่นี้จะนำเสนอการย้อม 2 แบบ คือ การย้อมโดยตรง และการย้อมโดยใช้สารช่วยติดสี ซึ่งเป็นธรรมชาติของการย้อมสีของคนบนพื้นที่สูงอย่างกลุ่มปกาเกอะญอและเลอเวีอะ

4.1 การย้อมโดยตรง (Direct Dyeing) : วัสดุให้สีจากรรมชาติบางชนิด มีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับเส้นใยได้ดีโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยติดสี ด้งนั้นจึงสามารถย้อมได้โดยกระบวนการ “ย้อมตรง ” ซึ่งสามารถย้อมได้ทั้งการ “ย้อมเย็น” คือการย้อมในน้ำสีที่สกัดไว้แล้วที่อุณหภูมิห้อง แต่ปกติเส้นใยจะดูดชับและติดสีได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 8 องศาเชลเชียส ซึ่งเรียกกว่าการ “ย้อมร้อน” ฉะนั้นสำหรับการย้อมสีที่ไม่ใช้สารช่วยติดสี แนะนำให้ย้อมด้วยกระบวนการย้อมร้อน โดยมีเทคนิควิธี ดังนี้

  1. นำน้ำสีที่สกัดไว้และกรองเรียบร้อยแล้วใส่หมอสแตนเลสหรืออลูมิเนียมขึ้นตั้งไฟ จนมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 65-80 องศาเซลเชียส ความร้อนจะช่วยให้เส้นด้ายพองตัว ทำให้เม็ดสีเคลื่อนที่เข้าไปในเส้นด้ายได้มากขึ้นและเร็วขึ้น (การให้ความร้อนไม่จำเป็นต้องต้มจนน้ำสีเดือดก็ได้ เพราะอาจสิ้นเปลืองพลังาน และยังมีปัญหาจากการที่น้ำในหม้อระเหยน้ำแห้งจนต้องหมั่นเติมน้ำกลับลงไป ทำให้สีในน้ำย้อมมีความเข้มข้นไม่คงที่)
  2. นำเส้นด้ายฝ้ายในปริมาณที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำสี ใส่ในห่วงย้อมผ้า (1คู่) แล้วแซ่เส้นใยฝ้ายในน้ำสี ให้น้ำท่วมเส้นด้าย แช่ไว้ประมาณ 10 นาที
  3. ยกห่วงคล้องเส้นดยขึ้น ให้เส้นด้ายส่วนหนึ่งยังแช่ในน้ำสี โยกขยับเส้นด้ายส่วนที่อยู่ในน้ำสีขึ้นมาสัมผัสอากาศ และขยับอีกส่วนลงไปแซ่ในน้ำสี ทำเช่นนี้วน ๆ ไป สลับกับการพลิกกลับเส้นด้ายที่อยู่ด้านในออกมาด้านนอก เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ ของเส้นด้ายได้ดูดชับเม็ดสีเข้าไปอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ การโยกเส้นดยขึ้นลงจะช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดสีตกตะกอนนอนอยู่กันหม้อ ทำเช่นนี้ประมาณ 10 นาที แล้วแช่เส้นด้ายลงในน้ำสีทิ้งไว้อีกประมาณ10 นาที ทำสลับกับการโยกเส้นด้ายขึ้นลงในน้ำสี รอบละ 10 นาที หากไม่มีห่วงย้อมผ้า ให้ใช้ไม้พายคนและยกเส้นด้ายขึ้นลงกลับไปกลับมาเพื่อให้เม็ดสีแทรกซึมเข้าไปในเส้นด้ายอย่างทั่วถึง หมั่นคนเพื่อไม่ให้สีตกตะกอนเพราะจะทำให้สีติดเส้นดยไสเสมอ สลับกับการแซ่เส้นด้ายไว้เฉย ๆ รอบละประมาณ 10 นาทีเช่นกัน
  4. ทำขั้นตอนที่ 3 สลับกันไปจนครบ 60-90 นาที หรือจนกว่าเส้นด้ายจะอิ่มสี หรือได้เฉดสีที่พอใจ และมีสีสันสม่ำเสมอทั่วกัน
  5. บิดเส้นด้ายพอหมาด ๆ แล้วนำขึ้นตากในร่มและอากาศถ่ายเทสะดวก โดยการคล้องในราวตาก และคอยขยับหมุนเส้นด้ายไม่ให้น้ำสีไหลมากองรวม ณ จุดเดียว เพราะจะทำให้สีไม่สม่ำเสมอ ขยับจนเส้นต้ายแห้งหมาด ๆ จากนั้นจึงตากเส้นด้ายทิ้งไว้จนแห้งสนิท
  6. นำเส้นด้ายฝ้ายที่ทิ้งไว้จนแห้งสนิทแล้วไปลงในน้ำสะอาดจนสีหลุดออกน้อยที่สุด บิดพอหมาดแล้วตากในที่ร่มและอากาศถ่ายเทสะดวกจนแห้งสนิท
  7. เก็บเส้นด้ายในที่ปลอดแสและอากาศถ่ายเทสะดวกไม่อับขึ้น ก่อนนำเส้นด้ายไปใช้งานต่อไป

4.2 การย้อมโดยใช้สารช่วยย้อม (Mordant dyeing) การย้อมด้วยวิธีนี้เป็นการย้อมแบบใช้สารช่วยสีติดหรือสารช่วยย้อมเคมีหรือมอร์แดนท์ สารจะทำหน้ที่ช่วยให้การยึดติดเส้นใยกับสีย้อมได้ดีขึ้น มอร์แดนท์ที่ใช้ ได้แก่ สารละลายขอเกลือโลหะ เช่น สารส้ม (มอร์แดนท์อลูมิเนียม) เฟอรัสซัลเฟต (มอร์แดนท์เหล็ก) ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมี “สารช่วยย้อมธรรมชาติ” (มอร์แดนท์ธรรมชาติ) เช่น น้ำปูนใส น้ำขี้เถ้า น้ำบ่อบาดาล หรือน้ำสนิมเหล็ก น้ำโคลน น้ำมะขามเปียก น้ำส้มป่อย เป็นต้น ที่หาได้ไม่ยากจากธรรมชาตินอกจากสารช่วยย้อมแล้ว ยังมี “สารช่วยให้สีติด” เพื่อช่วยให้สีติดเส้นด้าย โดยสารดังกล่าวจะใช้ย้อมเส้นด้ายก่อนการย้อมสี หรือใช้ผสมในน้ำสีย้อม ประกอบด้วย

  1. สารฝาด หรือ แทนนิน สารแทนนินจะมีอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของพืชที่มีรสฝาดและขม เช่น ลูกหมาก เปลือกเพกาเปลือกสีเสียด เปลือกประดู่ ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น น้ำมาใช้โดยการต้มสกัดน้ำฝาด หรือแทนนินจากพืชดังกล่าวแล้วนำเส้นดยต้มย้อมกับน้ำฝาดก่อน จากนั้นจึงนำเส้นด้ายไปย้อมกับน้ำสีอีกครั้ง
  2. โปรตีนจากน้ำถั่วเหลือง ใช้ต้มกับเส้นด้ายก่อนการย้อมสีีเพื่อช่วยในการเพิ่มโปรตีนบนเส้นด้าย
    ทำให้สามารถย้อมสีติดได้ดีมากขึ้นโดยแช่ด้ายฝ้ายกับน้ำถั่วเหลือง 1 คืนก่อนนำไปย้อม ยิ่งทำให้สีติดมากขึ้นเกลือแกง จะใช้ผสมกับน้ำสีย้อมเพื่อช่วยให้สีติดเส้นด้ายได้ง่ายขึ้น

การเตรียมสารช่วยย้อม

สารช่วยย้อมธรรมชาติ หรือ มอร์แดนท์ธรรมชาติ

  1. น้ำโคลน : นำโคลนที่มีคุณสมบัติที่ดี ต้องเป็นโคลนใต้สระหรือบ่อที่มีน้ำขังตลอดปี หรือบนดอยจะมีโคลนที่เรียกว่า “ขี้เครื่องบิน” ผิวหน้าโคลนจะขึ้นสีเหลือ ตักมาใส่ในถัง โคลน 1 ส่วน ผสมน้ำ 1 ส่วนคนให้เข้ากัน แล้วทิ้งให้ตกตะกอน 1 คืน ตักเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำใสไปใช้”
  2. น้ำขี้เถ้า : นำขี้เถ้าที่มีคุณสมบัติดี (ไม้ชนิดต่าง ๆ จะให้ขี้เถ้าที่มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน) ต้องมีการเผาไหม้สมบูรณ์เป็นเถ้าสีขาวสีเทา นำขี้เถ้าใส่ในถัง เติมน้ำสะอาดให้ท่วมหรือตามปริมาณที่ต้องการกวนให้เข้ากัน แล้วทิ้งให้ตกตะกอน 1 คืน (หรือเจาะก้นถัง แล้วเทให้น้ำหยด) เอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำใสไปใช้
  3. น้ำปูนใส : ได้จากปูนขาวที่ใช้กินกับหมาก หรือปูนขาวจากการเผาเปลือกหอย ฯลฯ โดยละลายปูนขาวในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน ตักหรือกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำใสไปใช้
  4. น้ำสนิมเหล็ก : นำเหล็กที่ขึ้นสนิม หรือผาตะเหล็ก/เศษเหล็กให้ร้อนเป็นเหล็กแดง แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 3 วัน (ตากกลางแดดยิ่งดี) แล้วกรองเอาน้ำไปใช้”.
  5. น้ำมะขามเปียก / น้ำส้มปอย : นำมะขามปียหรือส้มปอย ต้มในน้ำสะอาดอัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ 1 คั้นเอาน้ำไปใช้
  6. มอร์แดนท์เคมี : ละลายสารส้ม หรือ เฟอรัสซัลฟต” ในน้ำอุ่นให้ละลายหมด ก่อนนำไปผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วนที่ต้องการ ก่อนนำไปใช้

หมายเหตุ : ก่อนนำไปใช้ควรวัดค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH) ให้เหมาะสม ถ้าเข้มข้นเกินไปให้เติมน้ำเพื่อจาง
หมายเหตุ” : น้ำสนิมเหล็กและเฟอรัสชัลฟต หากใช้ปริมาณที่เข้มข้นเกินไป จะทำให้เส้นด้าย

 

การใช้มอร์แดนท์ในการช่วยย้อมสีธรรมชาติมี 4วิธี ได้แก่

วิธีที่ 1 การย้อมมอร์แดนท์ก่อนการย้อมสีนำเส้นด้ายที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วไปชุบหรือต้มย้อมกับมอร์แดนท์ก่อนนำไปย้อมด้วยน้ำย้อมสีธรรมชาติิตามกระบวนการย้อมที่กล่าวไว้ในข้อ 4. 1วิธีการนี้ น้ำสีในหม้ออาจจะเปลี่ยนสีไปเพราะมอร์แดนท์ที่อยู่ในเส้นด้ายจะละลายออกมาผสมกับน้ำสีในหม้อเดียวกัน

วิธีที่ 2 การย้อมมอร์แดนท์พร้อมกับการย้อมสีทำโดยใส่มอร์แดนท์ (ที่เตรียมไว้) ลงไปผสมในน้ำสี

แล้วจึงนำเส้นด้ายลงไปย้อม ตามกระบวนการย้อมที่กล่าวไว้ในข้อ 4. 1 วิธีการนี้น้ำสีอาจจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม

เพราะถูกผสมด้วยมอร์แดนท์ในหม้อเดียวกัน

วิธีที่ 3 การย้อมมอร์แดนท์หลังการย้อมสีทำโดยนำเส้นด้ายลงไปย้อมน้ำสีก่อน(ตามกระบวนการย้อมที่กล่าวไว้ในข้อ 4.1)แล้วจึงนำเส้นด้ายที่ย้อมสีแล้วไปชุบหรือย้อมด้วยมอร์แดนท์ภายหลัง โดยขณะชุบย้อม

ต้องบีบนาคเส้นด้ายให้มอร์แดนท์ซึมชาบเข้าไปให้ทั่วถึง วิธีการนี้จะช่วยทำให้เส้นด้ายเกิดเฉดสีใหม่ขึ้น”นอกจากนี้วิธีการนี้ทำให้สามารถนำเส้นด้ายที่ย้อมสี(ชนิดเดียวกัน)แล้ว ไปสร้างสีสันใหม่กับมอร์แดนท์ที่แตกต่างกันออกไปได้ โดยที่น้ำสีในหม้อตั้งต้น สีไม่เปลี่ยนแปลงไป

หมายเหตุ : คุณสมบัติของมอร์แดนท์ นอกจากจะเป็นสารที่ช่วยในการยึดและจับสีแล้ว ในบางครั้งยังทำให้ได้เฉดสีใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม

วิธีที่ 4 การย้อมมอร์แดนท์ตามลำดับพร้อมกับการย้อมสี วิธีการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างสีสันในเฉดสีที่ต้องการโดยอาศัยคุณสมบัติของมอร์แดนท์แต่ละตัว (ซึ่งมีข้อจำกัดว่าหากผสมมอร์แดนท์ชนิดต่าง ๆ ลงไปในน้ำสีพร้อมกันจะไม่ได้เฉดสีที่ต้องการ ต้องผสมเป็นลำดับ)การย้อมด้วยวิธีการนี้ เริ่มต้นจากการย้อมเส้นด้าย ในน้ำสีโดยไม่ต้อผสมมอร์แดนท์ (วิธีที่ 2) โดยใช้เวลาย้อมประมาณ 15 นาที่ (เพื่อไม่ให้เส้นด้ายอิ่มสี) จากนั้นยกเส้นด้ายออกจากหม้อ เติมมอร์แดนท์ชนิดที่ 1 ลงไปผสมในหม้อน้ำสี จากนั้นนำเส้นด้ายลงไปย้อมอีกครั้งประมาณ 10-15 นาทีีจากนั้นยกเส้นด้ายยออกจากหม้ออีกครั้ง แล้วเติมมอร์แดนท์ชนิดที่ 2 ลงไปผสมในหม้อน้ำสี จากนั้นนำเส้นด้ายลงไปย้อมอีกครั้ง ประมาณ 10-15 นาที่ ทำไปเช่นนี้กับมอร์แดนท์ลำดับต่อ ๆ ไป จนกว่าจะได้เฉดสีที่พอใจหรือจนกว่าเส้นด้ายจะอิ่มสีจากนั้นนำเส้นด้ายไปตากและล้าง ตามกระบวนการย้อมที่กล่าวไว้ในข้อ 4.1

เคล็ดไม่ลับ : การผสมสี นอกจากเราจะใช้มอร์แดนท์หรือสารช่วยย้อมในการเปลี่ยนสีแล้วยังเคยทำการทดลองลายวิธีการ อาทิ 1) ผสมสีด้วยการนำน้ำสีต่างชนิดมาผสมในหม้อเดียวกันแล้วจึงทำการย้อมหลายอย่างไปด้วยกันได้และให้สีสันใหม่ ขณะที่บางอย่างก็ไม่เกิดผลที่นพอใจ
2) เมื่อย้อมเส้นด้ายด้วยสีหนึ่งเสร็จแล้ว ตากให้แห้ง จากนั้นนำมาย้อมอีกที่กับน้ำสีอีกชนิดหนึ่ง ก็จะได้สีสันที่แตกต่างกันออกไปการย้อมสีรรมชาติอาจมีทฤษฎี/หลักการเป็นแนวทาง แต่สัจธรรมของความเป็นธรรมชาติ คือความไม่แน่นอน ฉะนั้น การทดลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง ก็อาจทำให้เราได้ผลลัพธ์และสีสันใหม่ ๆ ได้เช่นกัน . .